ลำดับการขึ้นโมเดลโครงสร้างใน Revit หลังจากเตรียมสภาพแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว
การจัดลำดับการสร้างโมเดลองค์ประกอบโครงสร้างใน Revit ต้องอาศัยหลักการทางวิศวกรรมและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดตามเอกสาร Autodesk Revit 2026 Help เพื่อให้ได้โมเดลที่ถูกต้องทั้งทางเรขาคณิตและทางวิศวกรรม โดยลำดับที่แนะนำมีดังนี้
1. เสาโครงสร้าง (Structural Columns)
ขั้นตอนแรกที่ต้องดำเนินการหลังการเตรียมสภาพแวดล้อมคือ การวางเสาโครงสร้าง เนื่องจากเสาเป็นองค์ประกอบรับน้ำหนักหลักที่เชื่อมโยงระบบโครงสร้างแนวตั้งกับแนวนอน ตามเอกสาร Revit API 2026 ระบุว่าเสาได้รับการจัดลำดับความสำคัญสูงสุดในระบบการเชื่อมต่อโครงสร้าง (Structural Connection Handler)
- ใช้เครื่องมือ Structure > Column เพื่อวางเสาตามจุดตัดกริด
- กำหนด Base Level และ Top Level ให้สอดคล้องกับข้อมูลแบบสถาปัตย์
- ปรับ Base Offset เป็นค่าลบเพื่อให้เสายื่นลงไปในฐานราก
2. คานโครงสร้าง (Structural Framing)
ขั้นตอนต่อมาคือ การวางคานโครงสร้าง ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงเสาและรับน้ำหนักจากพื้นสู่เสา เอกสาร Autodesk Revit 2026 Structure Fundamentals เน้นย้ำให้ใช้เครื่องมือ Beam System สำหรับการสร้างระบบคานแบบอัตโนมัติ
- เลือกโปรไฟล์คานจากไลบรารี เช่น W-Beam หรือ HSS
- ใช้ Automatic Beam System สำหรับการสร้างคานระยะเท่ากันในพื้นที่ปิด
- กำหนด Start/End Level Offsets เพื่อปรับตำแหน่งคานให้สัมพันธ์กับระดับพื้น
3. ผนังรับแรง (Structural Walls)
ผนังรับแรง ถูกสร้างขึ้นเป็นลำดับถัดมาเพื่อรับแรงเฉือนและแรงด้านข้าง ตามหลักการในเอกสาร Revit 2026 การใช้ Structural Wall แยกจากผนังสถาปัตยกรรมช่วยให้ควบคุมพารามิเตอร์ทางวิศวกรรมได้อย่างแม่นยำ
- กำหนด Location Line ให้ตรงกับแนวกริด
- ใช้ Attach Top/Base เพื่อเชื่อมผนังกับระดับพื้นหรือหลังคา
- ตรวจสอบ Structural Usage เป็น “Bearing” หรือ “Shear”
4. ฐานราก (Foundations)
ขั้นตอนการสร้าง ฐานราก ถูกจัดลำดับหลังจากองค์ประกอบแนวตั้งตามคำแนะนำใน Revit API 2026 เพื่อรักษาลำดับความสำคัญของการเชื่อมต่อ
- ใช้ Structure > Foundation สำหรับฐานแผ่ (Pad Footing)
- กำหนด จากเสาเพื่อคำนวณพื้นที่รับน้ำหนัก
- เชื่อมฐานรากกับเสาโดยใช้ Structural Connection
5. พื้นโครงสร้าง (Structural Floors)
พื้นโครงสร้าง ถูกสร้างเป็นลำดับสุดท้ายในกลุ่มองค์ประกอบหลัก เนื่องจากต้องอาศัยระบบคานและเสาที่สมบูรณ์แล้ว
- ใช้ Structure > Floor และเลือกประเภทพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก
- กำหนด Span Direction ให้สัมพันธ์กับทิศทางคาน
- เปิดใช้งาน Structural parameter สำหรับการวิเคราะห์โหลด
6. องค์ประกอบเสริม (Additional Elements)
หลังระบบโครงสร้างหลักเสร็จสมบูรณ์ ให้เพิ่มองค์ประกอบเสริมตามความต้องการการออกแบบ:
- โครงถัก (Trusses): ใช้ Truss tool พร้อมกำหนด Chord และ Web Members
- ระบบกันสะเทือน (Bracing): สร้าง Cross Bracing ด้วยเครื่องมือ Brace
- เปิดช่อง (Openings): ใช้ Opening by Face สำหรับช่องเปิดในพื้นและผนัง
- เหล็กเสริม (Rebar): วาง Reinforcement ตามข้อกำหนด ACI
การประสานงานกับโมเดลสถาปัตยกรรม
ตลอดกระบวนการสร้างแบบจำลอง ต้องใช้ Coordination Review เพื่อตรวจสอบความขัดแย้งกับโมเดลสถาปัตยกรรมที่เชื่อมโยง
- เปิด Interference Check ในแท็บ Collaborate
- ใช้ Copy/Monitor สำหรับการเปลี่ยนแปลงระดับและกริด
- ปรับ View Discipline เป็น “Coordination” เพื่อแสดงองค์ประกอบทุกสาขา
ตารางสรุปลำดับ
ลำดับ | องค์ประกอบ | เครื่องมือ Revit | เอกสารอ้างอิง |
---|---|---|---|
1 | เสาโครงสร้าง | Structure > Column | |
2 | คานโครงสร้าง | Structure > Beam | |
3 | ผนังรับแรง | Structure > Wall | |
4 | ฐานราก | Structure > Foundation | |
5 | พื้นโครงสร้าง | Structure > Floor | |
6 | องค์ประกอบเสริม | ตามประเภทองค์ประกอบ |
ข้อควรพิจารณาพิเศษ
- การตั้งค่า Structural Settings: กำหนด Default Analytical Project Settings ก่อนเริ่ม
- การใช้ View Filters: สร้างฟิลเตอร์แยกประเภทโครงสร้างสำหรับการจัดการ Visibility
- การทำงานร่วมกับ Analytical Model: เปิดใช้งาน Analytical Model Views สำหรับการส่งต่อข้อมูลให้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์
การเรียงลำดับนี้สอดคล้องกับหลักการในเอกสาร Autodesk Revit 2026 Help และ API Documentation ที่เน้นการรักษาลำดับความสำคัญของการเชื่อมต่อโครงสร้าง (Structural Connection Priorities) โดยมีการปรับปรุงในเวอร์ชัน 2026 ที่อนุญาตให้กำหนด Global Structural Settings สำหรับการสร้าง geometry เริ่มต้นจากจุดคลิกที่แม่นยำ
Leave a Reply